ปัญหาอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น เมื่อการทำงานชุมชนต้องมีโค้ช

    Admin Arayatime

    เผยแพร่ 01 กันยายน 2568
    เมื่อได้กลับไปในพื้นที่ ลงมือสร้างแปลง สร้างแหล่งอาหารเพื่อการพึ่งพาตนเอง และการกลับไปชุมชนก็พบว่าการอยู่รอดเพียงลำพังนั่น ไม่อาจทำได้ แต่จะทำอย่างไรให้คนในชุมชนเข้าใจและไปในแนวทางเดียวกับเรา นี่คือจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนในวิชา ห้องเรียนขับเคลื่อนชุมชนขั้นก้าวหน้า (Introduction to Community Coaching Course) อบรมระยะสั้นในรูปแบบอบรมเชิงปฏิบัติการ (Co-Create) รุ่น 2 ณ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พอเพียงพรรณา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 15-17 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทีมอารยธามและทีมพึ่งตนเพื่อชาติเป็นแกนนำพาเพื่อนเครื่อข่ายเข้าร่วมกว่า 13 ทีม ได้รับเกียรติจาก รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์ และทีมคณาจารย์ สำนักการประกอบการทางสังคม สถาบันอาศรมศิลป์ ออกแบบกระบวนการและจัดการอบรม โดยในวันแรก (15 ส.ค. 2568) ในวิชา Coaching system ระบบโค้ชเพื่อการพัฒนาชุมชน “ปัญหาอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ...ยกตัวอย่างมหาวิทยาลียที่เคยอยู่สบาย เรียนได้ปริญญา แต่มหาวิทยาลัยที่เคยเป็นมานั่นมันตอบโจทย์ในปัจจุบันไหม นำมาแก้ปัญหาของเราได้ไหม ...น้อยมาก แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง อะไรที่ยั่งยืน แข็งแรง ชีวิตเลือกที่จะเป็นอยู่ได้อย่างไร อะไรคือหลักประกันชีวิตของเรา ดังนั้นมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนต้องเปลี่ยน เราไม่ได้ปฏิเสธวิชา Coding ไม่ได้ปฏิเสธ AI แต่มันไม่พอ แล้วอะไรที่เราต้องเรียนรู้ เราต้องเรียนรู้ที่จะสร้างรากอันแข็งแรงของเราต่างหาก แล้วรากที่แข็งแรงของเราอยู่ที่ไหน? การที่เราลุกขึ้นมาทำงานชุมชน เป็นการลุกขึ้นมาทวนกระแสหรือ? เราไม่ไปทวน ไม่ต้าน ออกนอกกระแส แต่เราต้องอยู่เหนือกระแส ตั้งหลักใหม่ โจทย์ใหม่ หาคำตอบใหม่ให้กับชีวิตและกับครอบครัวเรา” รศ.ประภาภัทร นิยม กล่าวเปิดกิจกรรม จากนั้นเข้าสู่ช่วงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยการับฟังกัน และรับฟังข้อคิดเห็นจากวิทยากร เพื่อนำไปปรับใช้และกำหนดเป้าหมายในการทำกิจกรรมขับเคลื่อนชุมชนต่อไป “เราเป็นเหมือนกระจกสะท้อน ไปหาความหมายและส่งกลับ เพื่อบอกว่าเราเห็นอะไร บางทีชุมชนอาจจะอยู่ใกล้เกินไป ไม่เห็นตนเอง เราจะเห็นทั้งปัญหาและข้อได้เปรียบ ต้องให้คนนอกมามองและส่งกลับความหมายไปใช้ชุมชน” ความหมายและความสำคัญของการสะท้อนผลคืนสู่ชุมชน และหลังจากนั้นเป็นการถอดสะท้อนคิด ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญในการขัดเกลาผู้เข้าอบรม “ปรับทุกข์ผูกมิตร” อ.ประภาภัทรกล่าว เมื่อการเป็นโค้ชสำคัญที่การฟัง ดังนั้นการที่เราได้ฟังกัน ให้อะไรกับเราบ้าง “คนฟังจะได้เปรียบนะ เป็นเรื่องเล่าที่เป็นสุดยอดจริงๆ แต่ละเรื่องราวมาจากชีวิตจริง เราก็จะได้รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย เขามีวีธีการที่แยบยลอย่างไร เป็นมินิซี่รี่ย์ได้เลย เป็นหนังสานพลัง หนังที่พลิกเกมชีวิต ได้สร้างแรงบันดาลใจ ไม่รอโชค ไม่รอปาฏิหารย์ถ้าเราลงมือทำ และพอรู้ว่ามีคนที่ร่วมทุกข์กับเราเยอะ ก็เริ่มมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นพึ่งพาตนเอง มาสร้างนวัตกรรมใหม่ทางสังคม ซึ่งเป็นความกล้าหาญที่เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ” และกล่าวเสริมเกี่ยวกับการตั้งคำถามว่า “การตั้งคำถามแบบสร้างนั่งร้าน สร้างบันไดให้ขึ้น ต้องปูทางให้ขึ้นไป (scaffolding) ปูด้วยคำถามง่ายๆ โค้ชต้องมองล่วงหน้า ว่าต่อไปคืออะไร ต้องถามอะไร เราต้องเขาไปนั่งข้างในใจเขา เขาจะไปต่อได้อย่างไร จับคุณค่าของเขาให้ได้” โดยกิจกรรมในวันนี้เชื่อมั่นว่าผู้เป็นโค้ชจะสามารถนำไปปรับใช้ได้ และชุมชนจะมองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในวันแรกจบลงด้วยกิจกรรมการย้อนรากวัฒนธรรมทำอาหารจากวัตถุท้องถิ่นร่วมกัน จึงเป็นวันที่ได้อิ่มทั้งสมองและอิ่มท้องอย่างแท้จริง #arayatime #พึ่งตนเพื่อชาติ #สถาบันอาศรมศิลป์ #COCO101
    ความคิดเห็น